ใกล้
จะถึงวันพ่อกันแล้วนะครับ หลายคนคงทราบกันดีแล้วว่า "ดอกพุทธรักษา"
ถือเป็นดอกไม้ที่เป็นสัญลักษณ์ประจำวันพ่อ แต่เคยสงสัยกันหรือไม่ครับ
ว่าเจ้าดอกพุทธรักษาเนี่ย มันมีประวัติความเป็นมาอย่างไร
และทำไมเค้าถึงใช้ดอกพุทธรักษาเป็นดอกไม้ประจำวันพ่อ

หากเราย้อนหลัง ไปในอดีตสักร้อยปี จะพบว่าพุทธรักษาเป็นไม้ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากและถูกนำมาปลูกอย่าง แพร่หลายในสวนทั้งขนาดเล็กและใหญ่ หลังจากนั้นไม่นานความนิยมก็ลดลงแต่ก็ฟื้นกลับมาอีกจนกระทั่งถึงปัจจุบัน พุทธรักษาเป็นไม้ดอกระดับนานาชาติ โดยหลาย ๆ ประเทศยอมรับให้เป็นไม้หลักในการตบแต่งสถานที่ที่สำคัญ ๆ ด้วยลักษณะช่อดอกที่หลากสีสัน สร้างความเร้าใจให้กับนักจัดสวนยุคใหม่ที่เน้นไม้ที่ปลูกง่ายและสวยงามอยู่ เสมอ

ชื่อสากลที่เรียกว่า แคนนาส์
(Cannas) มาจากศัพท์ของภาษากรีกที่เขียนเป็นอังกฤษว่า Kanna ที่หมายถึง
ต้นไม้ที่มีลักษณะคล้ายต้นอ้อ มีการเรียกไม้นี้ในต่างประเทศอย่างหลากหลาย
อาทิเช่น แคนนา ลิลี่ (Canna lily) อินเดียนช็อตแพล้น (Indian short
plant) เป็นต้น

และรู้หรือไม่ครับว่า ดอกพุทธรักษาสามารถนำมาเป็นสมุนไพรรักษาโรคได้ อย่าง
ในประเทศปาปัวนิวกินี
มีการรับประทานหัวต้นพุทธรักษาเป็นอาหารหลักเหมือนหัวเผือกหัวมัน
ประเทศไทยเราสมัยโบราณก็มีนำหัวพุทธรักษามาต้มรับประทานบำรุงปอด
แก้อาเจียนหรือไอเป็นเลือด บางครั้งนำดอกมาใช้ห้ามเลือด
รักษาแผลที่มีหนอง เมล็ดบดพอกแก้ปวดศรีษะ
ส่วนพันธุ์พุทธรักษาปัจจุบันยังไม่มีการยืนยันในสรรพคุณ
จึงขอแนะนำว่าอย่าพึ่งไปลองรับประทาน
ควรใช้ทดลองตามสรรพคุณแต่ภายนอกร่างกายจะดีกว่าครับ
พุทธรักษาเป็นไม้ที่หาเลี้ยงตัวเองได้ ไม่ต้องการการดูแลเอาใจใส่ อยู่ในที่น้ำท่วมหรือที่แห้งแล้งก็ได้ เพียงแต่ถ้าที่แห้งลักษณะต้นจะเล็กและดูเหมือนต้นไม่สมบูรณ์ สวยงามเท่าต้นที่อยู่ในพื้นที่แฉะชื้น จึงไม่น่าแปลกใจที่จะเห็นว่าพื้นที่ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล โดยรอบที่เป็นที่รกร้างว่างเปล่า ทางกรุงเทพมหานครจะนำเอาต้นพุทธรักษามาลงปลูกเป็นแถวเป็นแนว บังกอหญ้ารก ๆ ให้พ้นจากสายตาคนที่สัญจรไปมา เนื่องจากพุทธรักษาเป็นไม้ที่เมื่อลงปลูกแล้ว ไม่ต้องไปสนใจก็สามารถงอกงามให้ดอกสีสวยจับตาผู้คนที่ผ่านไปได้ดี โดยถ้าลงมือปลูกช่วงหน้าฝนด้วยแล้ว ไม่ต้องไปรดน้ำให้แตกหน่อแตกขยายพุ่ม เพราะความที่สามารถหาน้ำและอาหารกินได้เองที่ริมถนน ทุ่งวัชพืชจึงค่อย ๆ แปรสภาพกลายเป็นทุ่งพุทธรักษาครับ
พุทธรักษาเป็นไม้ที่หาเลี้ยงตัวเองได้ ไม่ต้องการการดูแลเอาใจใส่ อยู่ในที่น้ำท่วมหรือที่แห้งแล้งก็ได้ เพียงแต่ถ้าที่แห้งลักษณะต้นจะเล็กและดูเหมือนต้นไม่สมบูรณ์ สวยงามเท่าต้นที่อยู่ในพื้นที่แฉะชื้น จึงไม่น่าแปลกใจที่จะเห็นว่าพื้นที่ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล โดยรอบที่เป็นที่รกร้างว่างเปล่า ทางกรุงเทพมหานครจะนำเอาต้นพุทธรักษามาลงปลูกเป็นแถวเป็นแนว บังกอหญ้ารก ๆ ให้พ้นจากสายตาคนที่สัญจรไปมา เนื่องจากพุทธรักษาเป็นไม้ที่เมื่อลงปลูกแล้ว ไม่ต้องไปสนใจก็สามารถงอกงามให้ดอกสีสวยจับตาผู้คนที่ผ่านไปได้ดี โดยถ้าลงมือปลูกช่วงหน้าฝนด้วยแล้ว ไม่ต้องไปรดน้ำให้แตกหน่อแตกขยายพุ่ม เพราะความที่สามารถหาน้ำและอาหารกินได้เองที่ริมถนน ทุ่งวัชพืชจึงค่อย ๆ แปรสภาพกลายเป็นทุ่งพุทธรักษาครับ

ดังนั้นถ้าใคร มีที่ปล่อยทิ้งไว้เฉย ๆ และไม่มีเวลาดูแล
การปลูกพุทธรักษาให้เต็มพื้นที่
หรือปลูกหน้าที่ให้บังที่ด้านในเพื่อความสวยงาม
ก็เป็นทางเลือกที่ดีวิธีหนึ่งเช่นกันนะครับ
นอกจากนี้แล้ว คนไทยยังไมีความเชื่อเกี่ยวกับดอกพุทธรักษา โดยคนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นพุทธรักษาไว้ประจำบ้านจะช่วยปกป้องคุ้มครอง ไม่ให้มีเหตุร้ายหรืออันตรายเกิดแก่บ้านและผู้อาศัย เพราะพุทธรักษาเป็นพรรณไม้ที่เชื่อกันว่า มีพระเจ้าคุ้มครองรักษาให้มีความสงบสุข คือเป็นไม้มงคลนามนั่นเอง
นอกจากนี้แล้ว คนไทยยังไมีความเชื่อเกี่ยวกับดอกพุทธรักษา โดยคนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นพุทธรักษาไว้ประจำบ้านจะช่วยปกป้องคุ้มครอง ไม่ให้มีเหตุร้ายหรืออันตรายเกิดแก่บ้านและผู้อาศัย เพราะพุทธรักษาเป็นพรรณไม้ที่เชื่อกันว่า มีพระเจ้าคุ้มครองรักษาให้มีความสงบสุข คือเป็นไม้มงคลนามนั่นเอง

ซึ่งตั้งแต่มีการกำหนดให้วันที่ 5 ธันวาคม
ของทุกปีเป็นวันพ่อแห่งชาติขึ้นมาครั้งแรกในปี พ.ศ. 2523
ก็ได้มีการกำหนดให้ดอกพุทธรักษาสีเหลือง
มาเป็นดอกไม้สัญลักษณ์ประจำวันพ่อ
คงเพราะด้วยชื่ออันเป็นมงคลของคำว่า"พุทธรักษา" อันหมายถึง
พระพุทธเจ้าทรงปกป้องคุ้มครองให้มีแต่ความสงบสุขร่มเย็น
ซึ่งมีเรียกกันมากว่า 200 ปี และ สีเหลือง
อันเป็นสีประจำวันพระราชสมภพขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
ของปวงชนชาวไทย การมอบดอกพุทธรักษาให้กับพ่อจึงเสมือนกับการบอกถึง
ความรักและเคารพบูชาพ่อ ผู้สร้างความสงบสุขร่มเย็นให้แก่ครอบครัว
ด้วยเหตุนี้ ดอกพุทธรักษา
จึงถือเป็นดอกไม้สัญลักษณ์ที่สำคัญประจำวันพ่อนั่นเองครับ

ที่มา: toongpang/www.panmai.com และ www.baanmaha.com
No comments:
Post a Comment